Login Form

ISO9001:2015 4.1 ความเข้าใจองค์กรและบริบทองค์กร

 Download GuideBook - Cl4

4.1 ความเข้าใจองค์กรและบริบทขององค์กร

องค์กรต้องพิจารณากำหนดปัจจัยภายนอกและภายในที่เกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายขององค์กรและทิศทางกลยุทธ์ และผลต่อความสามารถขององค์กรในการบรรลุผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ต่อระบบการบริหารคุณภาพ

 

องค์กรต้องเฝ้าติดตามและทบทวนสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับประเด็นภายนอกและภายในเหล่านี้.

 

หมายเหตุ 1 ปัจจัยสามารถรวมถึง ปัจจัยทางบวกและลบ หรือ สภาพใดๆ ที่ใช้ในการคำนึงถึง

 

หมายเหตุ 2 ความเข้าใจบริบทภายนอกสามารถทำให้ได้มาโดยการคำนึงถึงปัจจัยที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย เทคโนโลยี สภาพการแข่งขัน การตลาด วัฒนธรรม สังคม และ เศรษฐกิจแวดล้อม ไม่ว่าทั้งในระดับโลก ระดับชาติ ระดับภูมิภาค หรือระดับท้องถิ่น

 

หมายเหตุ 3 ความเข้าใจบริบทภายในสามารถทำให้ได้มาโดยการคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ คุณค่า วัฒนธรรม ความรู้ และสมรรถนะ ขององค์กร

 

อธิบายข้อกำหนด

ข้อกำหนดข้อนี้ของมาตรฐานISO9001เป็นข้อกำหนดใหม่ ที่ซึ่งมาตรฐานฉบับ ISO9001:2008 ไม่ได้ระบุไว้ และเป็นข้อกำหนดที่ยากสำหรับการทำความเข้าใจ แต่จะไม่ยากเลยสำหรับผู้บริหารอาวุโสโดยทั่วไปที่ทำการบริหารธุรกิจโดยใช้กลไกในการบริหารที่มีการทำ SWOT แผนการตลาด แผนธุรกิจ ประจำปีอยู่แล้ว

การทำความเข้าใจองค์กรและบริบทนี้ ถึงแม้เป็นข้อกำหนดของมาตรฐานใหม่ แต่องค์กรทั่วไปมักได้มีการกระทำอยู่แล้วแต่มักไม่เป็นทางการ สำหรับองค์กรทั่วๆไปเนื่องจากอาจยุ่งอยู่กับงานดำเนินธุรกิจและการแก้ปัญหารายวัน

สารสนเทศที่ได้จากการทำความเข้าใจองค์กรและบริบทองค์กรนี้ จะถูกใช้ในการพิจารณากำหนดขอบข่ายของระบบการบริหารคุณภาพและเป็นข้อมูลนำเข้าเพื่อการจัดทำระบบการบริหาร โดยใช้เพื่อการพิจารณาความเสี่ยงและโอกาสเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการควบคุมและติดตามในระบบการบริหารคุณภาพ

การขาดการพิจารณาองค์กรในมุมมองปัจจัยภายนอกภายในอย่างรอบคอบอาจทำให้ขาดโอกาสหรือทำให้เกิดความผิดพลาดบางสิ่งไป ในการดำเนินการจัดการบริหารจัดการองค์กร

ท่านอาจมุ่งอยู่แต่งานประจำวัน จนลืมมองสิ่งรอบๆ องค์กรท่านเช่น

  • -       อะไรคือจุดอ่อนของ คู่แข่ง ที่เรา สามารถนำมาใช้ประโยชน์
  • -       มีเทคโนโลยีใหม่ๆ อะไรที่ ช่วยให้เราเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
  • -       อะไรคือช่องว่าทางการตลาด ที่เราสามารถนำมาเป็นประโยชน์
  • -       มีการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านใดที่เพิ่มอย่างรวดเร็ว
  • -       เราขาดประสิทธิภาพในส่วนใดบ้าง
  • -       ลูกค้า มักติชมบ่นว่าเราในส่วนใดบ้าง
  • -       มีปัญหาทางกฎหมายหรือ กฎระเบียบที่ มีอาจจะก่อให้เกิดภัยคุกคามหรือไม่
  • -       องค์กรเราขาดความรู้ด้านใด
  • -       อะไรเป็นข้อได้เปรียบของผลิตภัณฑ์
  • -       อะไรที่ คู่แข่งของเรากลัวเรา
  • -       เรากลัวอะไรของคู่แข่ง คู่แข่งมีอะไรที่เก่งกว่า ดีกว่า ได้เปรียบกว่าเรา
  • -       จะเปิดตลาดใหม่ๆได้อย่างไร
  • -       มีแง่มุมใดของวัฒนธรรมองค์กรเราที่ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการแข่งขัน
  • -       อะไรที่สิ่งที่ต้องกังวลซึ่งอาจทำให้ ต้องออกจากธุรกิจได้ถ้าไม่ระวัง
  • -       อะไรคือสิ่งที่รบกวนจิตใจลูกค้าเกี่ยวกับเราบ้าง
  • -       ทุกคนเห็นด้วยว่ามีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
  • -       อะไรเป็นสิ่งที่องค์กรต้องปรับปรุง
  • -       อะไรเป็นสิ่งที่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของเราควรทำให้มีหรือปรับเปลี่ยนตามลูกค้าร้อง ขอ
  • -       ผู้ส่งมอบมีประเด็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงหรือไม่
  • -       การเปลี่ยนแปลงสภาวะของวัตถุดิบ

 

 ข้อกำหนดต้องการให้"องค์กรมีการพิจารณาปัจจัยภายนอกและภายในที่มีผลกับ 3 สิ่ง" กล่าวคือที่เกี่ยวข้องกับ

  • -       จุดมุ่งหมายขององค์กรและ
  • -       ทิศทางกลยุทธ์ และ
  • -       ผลกระทบต่อความสามารถขององค์กรในการบรรลุผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ต่อระบบการบริหารคุณภาพ

 ซึ่งหมายถึงว่าท่านต้องมีการกำหนด 3 สิ่งนี้ก่อนไม่ว่า จุดมุ่งหมายขององค์กรและทิศทางกลยุทธ์ และ ผลกระทบต่อความสามารถขององค์กรในการบรรลุผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ต่อระบบการบริหารคุณภาพ หากท่านยังไม่ได้สรุป ยังไม่ได้กำหนด ยังไม่ชัดเจน สำหรับ 3 สิ่งนี้ไว้ แนะนำให้กำหนดก่อนครับ หลังจากกำหนด 3 สิ่งนี้แล้ว จึงค่อยกำหนดปัจจัยภายในและภายนอกได้ครับ

 

ข้อกำหนดต้องการให้ “องค์กรต้องเฝ้าติดตามและทบทวนสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับประเด็นภายนอกและภายในเหล่านี้.

มาตรฐาน ISO ไม่ได้กำหนดให้สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกและภายในให้เป็นเอกสาร แต่การไม่เป็นเอกสาร แต่ในทางปฏิบัติคงจะยากยิ่งเนื่องจากท่านต้องติดตามและทบทวนสารสนเทศนี้ มากกว่านี้ท่านต้องใช้สารสนเทศในในการประเมินความเสี่ยงกับส่วนงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในฝ่ายและแผนกต่างๆ(ข้อ 6.1)

มาตรฐาน ISO ต้องการให้ท่านเฝ้าติดตาม แปลว่าท่านต้องมีกิจกรรมตรวจสอบสถานะของแต่ละประเด็นปัจจัยไม่ว่าภายนอกและภายในว่าแตกต่างหรือมีการปรับเปลี่ยน หรือมีแนวโน้มอยางไรเป็นระยะๆ โดยควรกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบ และหน้าที่ในการติดตาม รายงานในแต่ละเรื่อง ซึ่งรวมถึงการกำหนดความจำเป็นที่อาจต้องปรับต้องเปลี่ยนสารสนเทศนี้หรือไม่อย่างไร

มาตรฐาน ISO ต้องการให้ท่านทบทวน หมายถึงต้องมีการตัดสินใจในความถูกต้องทันสมัย ความใช้ได้ ความเชื่อถือได้ของสารสนเทศนี้ ตามรอบเวลา หรือจังหวะเวลาที่เหมาะสม มาตรฐาน ISO ไม่ได้กำหนดความถึ่ในการติดตามและการทบทวนมาให้ ซึ่งแต่ละองค์กรอยู่ในธุรกิจที่ต่างกันย่อมมีสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงใดๆที่มีผลกับการทำธุรกิจมีความเร็วและมีผลระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของประเด็นภายนอกกับประเด็นภายในองค์กรท่านต้องการการติดตามและทบทวนที่แตกต่างกัน 


 แนวทางในการดำเนินการ

  1. เริ่มจากทำการตรวจสอบปัจจัยที่ส่งผลหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรท่านไม่ว่าจุดมุ่งหมายขององค์กรและทิศทางกลยุทธ์
    รวมผลกระทบต่อความสามารถขององค์กรในการบรรลุผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ต่อระบบการบริหารคุณภาพ
  2. ทำการสรุปสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และใช้ในการกำหนดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง กำหนแผนงานและมาตรการต่างๆในการจัดการบริหารในองค์กรท่าน
  3. ทำการติดตามการเปลี่ยนไปของปัจจัยและรวมถึงการทบทวนซ้ำตามรอบเวลาที่กำหนด

 


 อะไรคือจุดมุ่งหมายองค์กร (Purpose)

จุดมุ่งหมายองค์กร(Purpose) เป็นสิ่งที่องค์กรคาดหวังและต้องการในการดาเนินงานในปัจจุบันและอนาคต การบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรได้จะต้องมีสิ่งสนับสนุนที่สอดคล้องได้แก่การมีวิสัยทัศน์และสร้างวิสัยทัศน์ร่วม (Vision and share vision) การกำหนดพันธกิจ (Mission)ที่ครอบคลุมเหมาะสม การกำหนดเป้าประสงค์ (Goals) ที่ชัดเจนในแง่ของปริมาณหรือพื้นที่ปฏิบัติการหรือการสร้างคุณค่าแก่องค์กรและการกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์กร (Objective) ในแต่ละห้วงเวลาของการปฏิบัติการตามแผนกลยุทธ์

จุดมุ่งหมาย (Purpose) หมายถึงสิ่งที่องค์กรต้องการในอนาคตสามารถกำหนดได้ 4 ประการเรียงลำดับจากการเจาะจงน้อยที่สุดไปถึงมากที่สุดคือ

- วิสัยทัศน์ (Vision)

- พันธกิจ (Mission)

- เป้าหมายหรือเป้าประสงค์ (Goals)

- วัตถุประสงค์ (Objectives)

 

อะไรคือวิสัยทัศน์ (Vision)

วิสัยทัศน์ (Vision) หมายถึงจินตภาพเกี่ยวกับองค์กรในอนาคตเป็นการชี้ถึงทิศทางที่องค์กรต้องการจะมุ่งไป วิสัยทัศน์จะอธิบายความท้าทายทะเยอทะยานสำหรับอนาคตขององค์กรแต่ไม่ได้ระบุถึงวิธีการที่จะนำไปสู่ความมุ่งหมายนั้นอย่างชัดเจน วิสัยทัศน์จะไม่เปลี่ยนบ่อยๆถ้าใน 4 ปียังทำได้ไม่สำเร็จก็ให้คงวิสัยทัศน์ไปก่อน

หรือกล่าวได้ว่าอีกนัยหนึ่ง วิสัยทัศน์คือทิศทางขององค์กรที่จะดาเนินการซึ่งจะต้องแสดงให้เห็นปรัชญาและค่านิยมหลัก

 

อะไรคือพันธกิจ (Mission)

พันธกิจองค์กรเป็นข้อความเกี่ยวกับการกำหนดกิจกรรมหลักและลักษณะงานสำคัญขององค์กรเพื่อนำไปสู่วิสัยทัศน์ที่องค์กรกำหนดขึ้น พันธกิจเป็นภารกิจพื้นฐานขององค์กรหรือหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติหรือต้องการพัฒนา

 

อะไรคือเป้าประสงค์

เป้าประสงค์คือผลลัพธ์สุดท้ายที่องค์กรปรารถนาให้บรรลุในสิ่งที่คาดหวังในแผนกลยุทธ์ วัตถุประสงค์ขององค์กรและวัตถุประสงค์ของกลยุทธ์ที่ดีต้องมีข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับปัญหาและความต้องการ

 

อะไรคือกลยุทธ์

การกำหนดกลยุทธ์ (Strategy Formulation)

การกำหนดกลยุทธ์ เป็นการพัฒนาแผนระยะยาวบนรากฐานของโอกาสและอุปสรรค ที่ได้จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก และการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนที่ได้จาการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน โดยองค์การจะต้องกาหนดและเลือกกลยุทธ์ที่ดีที่สุดที่เหมาะสมกับองค์กรที่สุด ผู้บริหารต้องพยายามตอบคาถามว่าทาอย่างไรองค์การจึงจะไปถึงเป้าหมายที่ได้กาหนดไว้ได้ โดยใช้ความได้เปรียบในการแข่งขันขององค์การกาหนดเป็นกลยุทธ์

กลยุทธ์ระดับองค์การ (Corporate Strategy)

เป็นกลยุทธ์ที่ครอบคลุมและบ่งบอกถึงกลยุทธ์โดยรวม และทิศทางในการแข่งขันขององค์การว่า องค์การจะมีการพัฒนาไปสู่ทิศทางใด จะดาเนินงานอย่างไร และจะจัดสรรทรัพยากรไปยังแต่ละหน่วยขององค์การอย่างไร เช่น การดาเนินธุรกิจแบบครบวงจร การขยายตัวไปในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เป็นต้น

1. มุ่งเน้นการเติบโต (Growth Strategy)

1.1 โตในอุตสาหกรรมเดิม Growth แบบ Concentration บริษัทจะต้องมีความแข็งแรงพอสมความอุตสาหกรรมมีความเย้ายวนสูงอยู่

1.1.1 โตครบวงจรในแนวดิ่ง (Vertical Integration) เป็นการขยายตัวของธุรกิจตามแกนตั้งใน Value Added Chain

1.1.2 โตครบวงจรในแนวระนาบ (Horizontal Integration) เป็นการขยายตัวในธุรกิจเดิมขยายไปยังตลาดใหม่

1.2 โตในอุตสาหกรรมใหม่ Growth แบบ Diversification อุตสาหกรรมเริ่มอิ่มตัวขณะที่องค์กรยังมีความแข็งแรงอยู่มาก จึงเริ่มผันตัวเองอุตสาหกรรมอื่นที่เย้ายวนมากกว่า

2. การคงที่หรืออยู่กับที่ (Stable Strategy) บริษัทไม่มีการลงทุนเพิ่ม เคยเป็นอย่างไรก็ยังคงรักษาสภาพเดิมไว้ ต้องมีผลตอบแทนเป็นที่พึงพอใจ กับบริษัทที่มีปัจจัยแวดล้อมทั้งในแง่โอกาสและอุปสรรค ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ข้อดี ประหยัดการลงทุน ต้นทุนต่า เป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กร เป็นกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจ ข้อเสีย กลยุทธ์ต่างๆต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ถ้าหยุดนิ่งนานๆ คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ง่าย จะทาไม่แตกต่างจากคู่แข่ง

3. การหดตัว (Retrench Strategy) เป็นทิศทางขององค์กรที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันต่าหรืออ่อนแอ เมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน จะไม่ทุ่มเททรัพยากรลงไป ข้อดี สามารถตัดค่าใช้จ่ายต่างๆและได้เงินทุนคืนข้อเสียหาคนมาซื้อต่อยากถึงหาได้ก็อาจขายในราคาที่ขาดทุน

2.2. กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy)

เป็นการกาหนดกลยุทธ์ในระดับที่ย่อยลงไป จะมุ่งปรับปรุงฐานะการแข่งขันขององค์การกับคู่แข่ง และระบุถึงวิธีการที่องค์การจะใช้ในการแข่งขัน มุ่งปรับปรุงฐานะการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้น โดยอาจรวมกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันไว้ด้วยกัน ภายในหน่วยธุรกิจเชิงกลยุทธ์ (Strategic Business Unit - SBU) เดียวกัน กลยุทธ์ระดับธุรกิจของ SBU นี้จะมุ่งการเพิ่มกำไร (Improving Profitability) และขยายการเติบโต (Growth) ให้มากขึ้น บางครั้งจึงเรียกกลยุทธ์ในระดับนี้ว่ากลยุทธ์การแข่งขัน (Competitive Strategy) ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอยู่ 4 กลยุทธ์

1. กลยุทธ์ผู้นาด้านต้นทุน (Cost – Leadership Strategy) มุ่งเน้นการมีต้นทุนต่า ลดต้นทุนในทุกๆด้าน

2. กลยุทธ์ผู้นาด้านความแตกต่าง (Differentiation Strategy) การสร้างความแตกต่าง

3. กลยุทธ์ขายของถูกสนามเล็ก (Focus Group Strategy) กลยุทธ์ที่เน้นการขายของถูก ใน Niche market ซึ่งทาไม่ง่ายเพราะตลาดไม่ใหญ่พอตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่ม ข้อดีคือประหยัดต้นทุนและค่าใช้จ่าย หากลยุทธ์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย ข้อเสีย ตลาดเล็กมาก รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายที่มีอยู่

4. กลยุทธ์ขายความแตกต่างสนามเล็ก (Differentiation focus strategy) เน้นการขายความแตกต่างให้ niche market ข้อดี บริการเฉพาะกลุ่มสร้างความพึงพอใจได้ง่ายสามารถเรียกราคาได้สูง ข้อเสียเป็นการจากัดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากเกินไป ทาให้รายได้น้อยลงอาจไม่พอกับค่าใช้จ่าย

2.3. กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ (Operational Strategy)

เป็นการกาหนดกลยุทธ์ที่ครอบคลุมวิธีการในการแข่งขัน แก่ผู้เกี่ยวข้องในหน่วยงาน (Function) ต่าง ๆ มุ่งเน้นให้แผนกงานตามหน้าที่พัฒนากลยุทธ์ขึ้นมา โดยอยู่ภายใต้กรอบของกลยุทธ์ระดับองค์การและกลยุทธ์ระดับธุรกิจ เช่น แผนการผลิต แผนการตลาด แผนการดาเนินงานทั่วไป แผนการด้านทรัพยากรบุคคล แผนการเงิน เป็นต้น

ตัวอย่างกลยุทธ์

ตัวอย่างธุรกิจน้ำพริกสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน

กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Strategy)

กลยุทธ์ที่เลือกใช้ คือ กลยุทธ์การขยายตัวในแนวตั้งโดยการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดให้มากขึ้น หรือ จับกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ โดย

-       มุ่งตลาดเฉพาะส่วนและหากลยุทธ์ในการเจาะตลาดให้มากขึ้น เพิ่มยอดขายจากลูกค้ากลุ่มเดิม คือ กลุ่มแม่บ้าน คนทำงาน โดยการพัฒนารสชาติสินค้าใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของลูกค้า

-       รักษาลูกค้ากลุ่มเดิมและขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่

-       ขยายตัวโดยสร้างพันธมิตรทางการค้า เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย

กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy Formulation)

น้ำพริกแม่อุษา เลือกใช้กลยุทธ์ผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership Strategy) เนื่องจากน้ำพริกแม่อุษามีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำมาก เมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ คือ

-       ปรับปรุงและควบคุมกระบวนการผลิตการดำเนินงาน เพื่อรักษาคุณภาพของสินค้า รวมทั้งทำให้สามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนต่ำ เพื่อให้เกิด Economy of Scale ในอนาคต

-       พัฒนาการบริหารวัตถุดิบและสินค้าคงคลัง เช่น ซื้อวัตถุดิบจากผู้จัดจำหน่ายที่ให้ราคาต่ำสุดด้วยคุณภาพที่ไม่แตกต่างจากเดิม หรือ ผู้จัดจำหน่ายทีมีส่วนลดสินค้ามากที่สุด เป็นต้น

กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ (Functional Strategy Formulation)

            จากสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจน้ำพริก ทำให้น้ำพริกแม่อุษา ต้องกำหนดกลยุทธ์ในระดับปฏิบัติการให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับกลยุทธ์ระดับองค์กรและระดับธุรกิจ เพื่อให้บริษัทดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยมีรายละเอียดของกลยุทธ์ดังนี้

กลยุทธ์ด้านการตลาด (Marketing Strategy)

กลยุทธ์ด้านสินค้า

-       เน้นด้านคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า ซึ่งสินค้าของน้ำพริกแม่อุษา ได้รับเครื่องหมาย อ.ย. ตั้งแต่ปีแรกที่เปิดดำเนินการ   รวมทั้งบรรจุภัณฑ์มีการปิดผนึกอย่างดี และฉลากสินค้าที่มีรายละเอียดชัดเจน เชื่อถือได้ และมีบาร์โค๊ดกำกับสินค้า

กลยุทธ์ด้านราคา

-       ปัจจุบันใช้กลยุทธ์ราคาต่ำ โดยจำหน่ายสินค้าในราคาที่ถูกกว่ายี่ห้ออื่น

กลยุทธ์ด้านการจำหน่าย

-       จะเน้นจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายเป็นหลัก   เนื่องจากสามารถกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง

กลยุทธ์ด้านส่งเสริมการขาย

-       สร้างตราสินค้าน้ำพริกแม่อุษาให้ผู้บริโภครู้จักมากขึ้น โดยออกร้านตามงานหรือเทศกาลต่าง ๆ ที่หน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวงพาณิชย์, กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ฯลฯ

กลยุทธ์ด้านการดำเนินงาน (Operation Strategy)

-       จัดหาสถานที่ประกอบการใหม่ เนื่องจากสถานประกอบการเดิมคับแคบ อยู่ในบริเวณที่อยู่อาศัยและแหล่งชุมชน   ทำให้ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตรองรับการขยายการตลาดได้

-       ใช้เครื่องมือบรรจุน้ำพริกแทนการใช้กำลังคน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน

-       จัดตารางการขนส่งให้เหมาะสม โดยพยายามจัดส่งให้ลูกค้าที่มีเส้นทางเดียวกัน ในวันและเวลาเดียวกัน / ลูกค้าต่างจังหวัดเลือกวิธีการขนส่งผ่านระบบ รสพ. หรือ บขส.

-       กลยุทธ์ด้านการเงิน (Financial Strategy)

-       จัดทำงบการเงินต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ชัดเจน และถูกต้องทุกเดือน

กลยุทธ์ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Resources Management Strategy)

-       เน้นการจ้างพนักงานที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เนื่องจากสะดวกในการเดินทางและสามารถทำงานล่วงเวลาได้หากมีปริมาณการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น

ตัวอย่างธุรกิจน้ำยาปรับผ้านุ่ม

กลยุทธ์ระดับองค์กร ( Corporate Strategy )

ดำเนินธุรกิจ โดยใช้กลยุทธ์เติบโต ทั้งนี้กิจการจะมีโครงสร้างองค์กรที่ไม่ซับซ้อน แยกอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบตามส่วนงาน   รวมถึงการจัดระบบการบริหารงานภายในที่มีการกระจาย เพื่อความคล่องตัวในการบริหารงาน

กลยุทธ์ระดับธุรกิจ ( Business Strategy )

สร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง เนื่องจากปัจจุบัน สภาพการแข่งขัน ยังมีน้อย ประกอบกับการเข้าสู่ตลาดของคู่แข่งรายย่อยอื่นเป็นไปได้ง่ายหากสามารถรู้ขั้นตอนและกระบวนการผลิต

กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ (Functional Strategy )

กลยุทธ์ด้านการตลาด

กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์

  • ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์สำหรับน้ำยาปรับผ้านุ่มประเภท Refilled ให้เป็นประเภททึบแสง เพื่อป้องกันการตกตะกอน
  • ปรับปรุงรูปแบบขวดบรรจุภัณฑ์ของน้ำยาปรับผ้านุ่มให้มีความเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น เพื่อเป็นที่สะดุดตาสำหรับผู้บริโภค

กลยุทธ์ราคา

  • วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนการผลิตของกิจการ
  • ประมาณการต้นทุน และราคาขายของคู่แข่ง
  • กำหนดราคาโดยใช้วิธีกำหนดอัตรากำไรเพิ่มจากต้นทุนการผลิต
กลยุทธ์การจัดจำหน่าย
  • จำหน่ายผ่านตัวแทนขาย และระบบขายตรง

กลยุทธ์ส่งเสริมการขาย

  • โฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ท้องถิ่น และวิทยุกระจายเสียงท้องถิ่น
  • การจัดผลิตภัณฑ์เป็น Package และขายในราคาพิเศษ

กลยุทธ์ด้านการผลิต

 

การควบคุมต้นทุนการผลิต

  • จัดหาแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพและต้นทุนที่เหมาะสม โดยการติดต่อ Supplier หลายราย
  • กำหนดจำนวนคนงานให้เหมาะสมกับขนาดการผลิต

การคิดมูลค่าสินค้าคงเหลือ

  • ใช้วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน ( First in-First out Method : FIFO )

 

กลยุทธ์ด้านการเงิน

 

การจัดระบบ

  • วางระบบสำคัญต่างๆ ได้แก่ ระบบการบริหารเงิน ระบบการ
    ควบคุมลูกหนี้และเจ้าหนี้     ระบบการควบคุมสินค้าคงเหลือ     ระบบสินทรัพย์ถาวร       ระบบการจัดซื้อ   และระบบการขาย เป็นต้น
  • จัดหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน
  • จัดวางระบบการประเมิน และการควบคุมภายใน

แหล่งเงินทุนหมุนเวียน

  • ใช้สินเชื่อทางการค้า (Trade Credit)
  • กู้เงินจากสถาบันการเงินเพิ่มเติม

 

ตัวอย่างธุรกิจโรงพิมพ์

กลยุทธ์ระดับบริษัท

ใช้กลยุทธ์เติบโต โดยปรับปรุงคุณภาพงาน และลงทุนเครื่องพิมพ์เพิ่ม

กลยุทธ์ระดับธุรกิจ

พัฒนาคุณภาพงานพิมพ์ โดยมีต้นทุนต่ำสุด

กลยุทธ์ระดับหน่วยงาน

-       การตลาด ทำการตลาดเชิงรุก ด้วยการกระตุ้นความต้องการสิ่งพิมพ์ในตลาดให้มากขึ้น

-       การผลิต       ปรับปรุงขบวนการผลิตให้ทันสมัย และมีต้นทุนต่ำลง

-       การเงิน       มีวินัยทางการเงิน รู้จักประหยัด และเน้นการขายเงินสด

-       การจัดการ พัฒนาทีมงาน กำหนดหน้าที่งานแต่ละตำแหน่ง แบ่งงานและมอบหมายงานให้เหมาะสม ติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างธุรกิจฟาร์มสุกร

เนื่องจากเป็นกิจการขนาดเล็ก จึงกำหนดได้เพียงกลยุทธ์ระดับธุรกิจ และระดับปฏิบัติการ

กลยุทธ์ระดับธุรกิจ และระดับปฏิบัติการ คือ

-       เน้นควบคุมต้นทุนในการบริหารจัดการให้ต่ำ

-       ผลิตลูกสุกรที่มีน้ำหนักตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 8 กก.

ตัวอย่างธุรกิจโรงน้ำแข็ง

กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Strategy)

เลือกใช้กลยุทธ์เติบโตแบบคงที่ ไม่มีการลงทุนเพิ่ม แต่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้เป็นผู้ผลิตน้ำแข็งที่มีคุณภาพสูง  

กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy)

เสริมสร้างประสิทธิภาพการผลิต การใช้กำลังการผลิตให้เต็มที่ และความสะอาด ซึ่งจะส่งผลให้กิจการมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำในระยะยาว

กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ (Functional strategy)

การผลิต

- พัฒนาระบบการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐาน G.M.P.

การตลาด

- ขยายตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจโรงแรม และรีสอร์ทภายในจังหวัด

- ประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าทราบถึงมาตรฐานในการผลิต และความสะอาดของน้ำแข็งที่มี

   สูงกว่าของคู่แข่ง

การจัดการ

- ปรับปรุงระบบค่าตอบแทนให้เป็นมาตรฐาน

การเงิน

- ปรับปรุงระบบบัญชีและการเงินให้มีมาตรฐาน

 


อะไรคือผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ต่อระบบการบริหารคุณภาพ

สิ่งนี้เป็นเรื่องใหม่และเรื่องใหญ่สำหรับระบบการบริหารคุณภาพ ในอดีตการจัดทำระบบเพียงมุ่งเน้นเพื่อให้ได้การรับรองเพราะไม่ได้กำหนดสิ่งที่ต้องการจากระบบการบริหาร
องค์กรโดยทั่วไปจึงสนใจเฉพาะ shall ที่มาตรฐานกำหนด และไม่รู้ว่าทำระบบการบริหารคุณภาพไปทำไมเนื่องจากไม่ได้กำหนดสิ่งที่ต้องการจากระบบการบริหารคุณภาพ
ด้วยเหตุผลนี้ระบบการบริหารคุณภาพจึงถูกจัดวางและจัดการโดยไร้ทิศทางและไม่สารถบอกได้ว่า ระบบการบริหารคุณภาพ 9001 นี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร ควรปรับปรุงตรงส่วนไหน ใครต้องทำอะไรอย่างไร แค่ไหน จึงทำให้ระบบการบริหารคุณภาพ 9001 ไม่มีประสิทธิผล ไม่น่าในใจ และไม่มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจเท่าที่ควรจะเป็น

ข้อกำหนดจึงต้องการให้องค์กรกำหนด "ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ต่อระบบการบริหารคุณภาพ " เพื่อเป็นเข็มมุ่งในการจัดวางระบบการบริหาร และมีข้อกำหนดเรื่องความเสี่ยงและโอกาส (6.1) ในการรับรองว่าระบบจะได้ถูกจัดวางเพื่อให้ได้ตามผลลัพธ์นี้

ผู้ที่กำหนดอนุมัติ ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ต่อระบบการบริหารคุณภาพ ควรเป็นผู้บริหารระดับสูงเพื่อให้ชัดเจนว่าระบบการบริหารคุณภาพที่ดีสำหรับองค์กรควรเป็นอย่างไร รวมถึงเพื่อให้ได้การสนับสนุนและเป็นเนื้อเดียวกับการบริหารประจำวันในธุรกิจ

ตัวอย่างของผลลัพธ์ที่คาดหวัง ที่องค์กรควรทำการกำหนดอย่างเฉพาะเจาะจงตามที่ต้องการ
ตัวอย่างผลลัพธ์ที่คาดหวังในมุมพนักงาน
- ทำให้เกิดความพอใจในการทำงาน
- พนักงานมีจิตสำนึกในเรื่องคุณภาพมากขึ้น
- การปฏิบัติงานมีระบบ และมีขอบเขตที่ชัดเจน
- พัฒนาการทำงานเป็นทีมหรือเป็นกลุ่ม
- ทำงานเหนื่อยน้อยลง ได้ผลงานมากขึ้น
- ลดการทำงานที่ไม่จำเป็น

ตัวอย่างผลลัพธ์ที่คาดหวังในมุมองค์กร
- สร้างความยั่งยืนและเชื่อถือได้จากระบบการบริหารงาน
- มีข้อมูลสารสนเทศอย่างเพียงพอเพื่อการตัดสินใจ
- สร้างสมรรถนะในการแข่งขัน
- มีความเร็วในการตอบสนองตลาด
- สร้างผลกำไร
- ลดการเกิดปัญหาซ้ำซาก
- มีประสิทธิภาพการผลิต
- ลดเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
- ลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ
- เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เข้าสู่ตลาดใหม่ๆ
- ผลิตภัณฑ์เป็นที่น่าเชื่อถือ
- ประหยัดต้นทุนในการดำเนินงาน

ท่านควรกำหนให้เฉพาะเจาะจงที่สุด เพื่อให้พนักงานทั้งหมดขององค์กร เป็นไปในทางเดียวกับ ในการจัดวางระบบ ดำเนินการระบบ ตรวจสอบและปรับปรุง 


 กลุ่มปัจจัยแวดล้อมภายนอกมีอะไรบ้างที่ควรได้รับการพิจารณา

ปัจจัยแวดล้อมภายนอก หมายถึงสิ่งที่รายล้อมธุรกิจที่สามารถมีผลต่อองค์กร ปัจจัยแวดล้อมที่ควรพิจารณาได้แก่

- สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (Economic Environment) เช่นรายได้ต่อหัวประชากรอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศราคาน้ำมันเป็นต้น

- สิ่งแวดล้อมทางสังคม (Social Environment) เช่นสภาพสังคมความสัมพันธ์ในชุมชนเป็นต้น- สิ่งแวดล้อมวัฒนธรรม (Cultural Environment) เช่นค่านิยมการศึกษาความเชื่อ

ขนบธรรมเนียมประเพณีการบริโภคศิลปะเป็นต้น

- สิ่งแวดล้อมประชากรศาสตร์ (Demographical Environment) เช่นอัตราเกิดอัตราตายความหนาแน่นของประชากรเป็นต้น

- สิ่งแวดล้อมด้านการเมือง (Political Environment) เช่นนโยบายทางการเมืองเสถียรภาพทางการเมืองการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคส่วนเป็นต้น

- สิ่งแวดล้อมด้านกฎหมาย (Legal Environment) เช่นพระราชกฤษฎีกาพระราชกำหนดกฎกระทรวงข้อบัญญัติกฎระเบียบข้อบังคับเป็นต้น

- สิ่งแวดล้อมภาครัฐ (Governmental Environment) ได้แก่องค์กรภาครัฐต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรเช่นส่วนราชการอื่นๆรัฐวิสาหกิจเป็นต้น

- สิ่งแวดล้อมทางเทคโนโลยี (Technological Environment) เช่นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศคอมพิวเตอร์และการสื่อสารเป็นต้น

- แนวโน้มทางการแข่งขัน (Competitive Trends) การดำเนินงานขององค์กรซึ่งประกอบกิจการหรือมีลักษณะงานคล้ายคลึงกับองค์กรซึ่งส่งผลกระทบหรือได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจากการดำเนินงานขององค์กร

กลุ่มปัจจัยแวดล้อมภายในมีอะไรบ้างที่ควรได้รับการพิจารณา

ปัจจัยแวดล้อมภายใน หมายถึงกิจกรรมต่างๆภายในองค์กรซึ่งองค์กรสามารถควบคุมได้และมีผลทำให้การดำเนินงานภายในองค์กรประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวได้ ซึ่งหมายรวมถึงทุกฝ่าย แผนก กระบวนการ กิจกรรม เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์ เครื่องมือวัด พนักงาน เงินทุน ความรู้ สถานที่ตั้ง ทุกส่วนในองค์กร เป็นต้น

-       จุดแข็ง (Strengths) หมายถึงลักษณะเด่นของการดำเนินงานหน้าที่ต่างๆภายในองค์กรลักษณะเช่นนี้เป็นปัจจัยเอื้อต่อความสำเร็จขององค์กร

-       จุดอ่อน (Weaknesses) หมายถึงการดำเนินงานองค์กรไม่สามารถกระทำได้ดีเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จขององค์กรองค์กรจะต้องหาทางแก้ไขจุดอ่อนที่เกิดขึ้น

 

ปัจจัยแวดล้อมภายในที่ควรพิจารณา

- Man บุคลากรรวมถึงผู้บริหารขององค์กร

- Money งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรแล้ว

- Material วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือเทคโนโลยี

- Management ระบบบริหารจัดการทุกด้านเช่นการบริหารงานการเงินพัสดุงบประมาณทรัพยากรบุคคลเป็นต้น 


 ตัวอย่างประเด็น

ตัวอย่างอุตสาหกรรมน้าผักและผลไม้พร้อมดื่ม

ตัวอย่างปัจจัยภายใน

ตัวอย่างปัจจัยภายนอก

ภัยคุกคาม

1. ค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสูง

2. ความหลากหลายของสายผลิตภัณฑ์ยังมีน้อยกว่าคู่แข่ง

3. ส่วนแบ่งตลาดยังไมํสามารถเป็นผู้นำตลาดได้

4. เครือข่ายการจัดส่งยังไมํครอบคลุมทุกพื้นที่

5. รสชาติที่ผู้บริโภคต้องการนั้นยังวางจำหน่ายน้อยกวำคูํแขํงขัน

6. Brand awareness ในตัวผลิตภัณฑ์ยังมีต่ำ

7. การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างยังมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น รูปแบบการจัดจ้าหน่ายเป็นแบบดั้งเดิม

8. ผู๎บริโภคให้ความสนใจในการบริโภคน้าผลไม้ 100% มากกว่า

โอกาส

1.ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของตราสินค้าเป็นที่เป็นที่รู้จักของลูกค้า

2. คุณภาพของสินค้าสูง

3. ความหลากหลายของสายผลิตภัณฑ์

4. กระบวนการผลิต ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล

5. มีการจัดแคมเปญร่วมกับโรงพยาบาล และ ศูนย์สุขภาพตำงๆ

6. มีการจัดกิจกรรม ส่งเสริมการตลาดอยำงตํอเนื่อง

7. มีกำลังการผลิตที่เพียงพอ

8. ทรัพยากรในการผลิตมีอยู่มากมาย

9. บริษัทมีการสร้างพันธมิตรธุรกิจทำให้บริษัทมีความแข็งแกรํงและมีความสามารถในแขํงขัน

10. มีทีมงานที่แข็งแกรํงในการวิจัยและพัฒนาสินค้า

11. ผลิตภัณฑ์เป็นเครื่องดื่มที่ให้คุณคำและประโยชน์ต่อสุขภาพ

ภัยคุกคาม

1. วัตถุดิบ ผัก และ ผลไม้ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตตามฤดูกาล ปริมาณและคุณภาพจึงไม่คงที่ทำให้ยากต่อการควบคุมต้นทุนการผลิต

2. อุตสาหกรรมน้ำผักและผลไม้พร้อมดื่ม มีอัตราการแข่งขันที่รุนแรง การเข้าออกในอุตสาหกรรมทำได้โดยง่ายและมีความแตกต่างกันด้านผลิตภัณฑ์น้อยมาก

3. สินค้าทดแทนที่มีราคาต่ำกว่าและความหลากหลายของสินค้าทดแทน ท้าให้ผู้บริโภคมีอำนาจในการต่อรองสูง

4. สภาพเศรษฐกิจที่ความผันผวนทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ไม่สามารถตั้งราคาสูงได้

5. ความไม่แน่นอนทางด้านการเมือง ส่งผลต่อกำลังซื่อของผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง

โอกาส

1.การดำเนินชีวิตประจ้าวันที่เร่งรีบและความเครียดจากการท้างาน ท้าให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพโดยการหันมาดื่มน้ำผักและผลไม้

2. อัตราการเจริญเติบโตของตลาดน้ำผลไม้ยังมีการเติบโตที่ต่อเนื่อง

3. ประเทศไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรทางการเกษตรซึ่งมีผัก และ ผลไม้มากมายหลายชนิดและหมุนเวียนตลอด ทุกฤดูกาล

4. โอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เนื่องจากผู้บริโภคนิยมทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยคำนึงถึงรสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น

5. รัฐบาลสนับสนุนให้ผู้บริโภคนิยมดื่มน้าผักและผลไม้มากขึ้น เพื่อสุขภาพและพลานามัยที่ดี

6. ผลิตภัณฑ์เป็นเครื่องดื่มที่ให้คุณค่าทางอาหาร

7. ตลาดยังเปิดกว้างสำหรับเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์

8. คำนิยมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง ให้ความสนใจกับสินค้าที่ใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น

ธนาคาร abc สาขา ซอยนานา

ตัวอย่างปัจจัยภายใน

 

ภัยคุกคาม

-       มีจานวนพนักงานไม่เพียงพอต่อการให้บริการ โดยดูจากจานวนคิวที่รอในแต่ละช่วงเวลาและการที่ลูกค้าร้องเรียนเข้ามาในช่องทางต่างๆ

-       ลักษณะของผลิตภัณฑ์ทางการเงินสามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประโยชน์ อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือข้อกาหนดต่าง ๆ ทาให้ต้องหันมาเน้นการบริการให้เหนือกว่าคู่เพื่อให้เกิดความประทับใจและรักษาลูกค้าในระยะยาว

-       ธนาคาร มีกลุ่มธุรกิจในเครือ GE ที่หลากหลาย ทาให้การควบคุมทำได้ลำบาก เกิดต้นทุนที่สูงขึ้นจากการดำเนินงานในธุรกิจที่ไม่ถนัดส่งผลต่อการบริการที่ติดขัดไม่คล่องตัวในการให้บริการ

โอกาส

-       ธนาคารมีเงินทุนจานวนมาก บริษัท จีอี มันนี่ ประเทศไทย เป็นบริษัทแรกที่นาเสนอสินเชื่อเพื่อการซื้อสินค้าแบบเงินผ่อนเป็นรายแรกในประเทศไทย ทาให้มีความได้เปรียบจากประสบการณ์ที่มากกว่าบริษัทอื่นเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ

-       ธนาคารมีการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Centre) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง และจัดเก็บฐานข้อมูลลูกค้า ทาให้การวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าที่มีความซับซ้อนสามารถทาได้รวดเร็วและละเอียดขึ้น และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างทันท่วงที เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

-       ธนาคารมีบุคลากรในการบริการทางการเงินที่เพียบพร้อมเพื่อสนองความต้องการทางการเงินของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน และลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประกอบด้วย สินเชื่อรถยนต์สาหรับรถเก่า สินเชื่อรีไฟแนนซ์รถยนต์ สินเชื่อรถมอเตอร์ไซด์ บัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการแบบครบวงจร

  1. ธนาคารมีพันธมิตรทางธุรกิจเป็นจานวนมาก ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จากัด ) มหาชน ( , บริษัท เพาเวอร์ บาย เป็นต้น เป็นที่ต้องการของลูกค้า ทาให้บริษัทสามารถเรียกให้ลูกค้ามาใช้บริการทางการเงินและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการได้อย่างครบวงจร

ภัยคุกคาม

- มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในธุรกิจธนาคาร

- มีคู่แข่งจานวนมากจึงทาให้มีทางเลือกในการใช้บริการมาก เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทหารไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารธนชาต ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารยูไนเต็ดโอเวอร์ซีส์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ธนาคารทิสโก้ ธนาคารเกียรตินาคินและธนาคารสินเอเชีย เป็นต้น

 

 

 

 

 

โอกาส

- ธนาคารเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องใช้เพื่ออานวยความสะดวกด้านการเงินในการทาธุรกิจ

- ภาพลักษณ์ธนาคารมีความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้นหลังจากได้ GE เข้ามาถือหุ้น

- บริษัทมีพันธมิตรทางธุรกิจเป็นจานวนมาก ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จากัด ) มหาชน ( , ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จากัด )มหาชน (, บริษัท เพาเวอร์ บาย เป็นต้น สินค้าของพันธมิตรเป็นที่ต้องการของลูกค้า

- ประชาชนมีทัศนะคติในการบริหารการเงินมากขึ้น

 


คำถามที่มักถามบ่อย

ถาม ผู้บริหารระดับสูงควรมีส่วนร่วมในการทำความเข้าใจองค์กรและบริบทองค์กรหรือไม่

ตอบ มาตรฐานไม่ได้กำหนดไว้ แต่คงเป็นการผิดธรรมชาติในการทำธุรกิจมากๆ หากกระบวนการในการทำความเข้าใจองค์กรและบริบทองค์กรไม่ได้ไม่ได้รับการใส่ใจหรือได้รับการตัดสินใจ หรือไม่มีการรับรู้โดยผู้บริหารระดับสูง โดยทั่วไปแล้วงานนี้มักกระทำโดยผู้บริหารอาวุโสและผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ไม่ใช่พนักงานในระดับปฏิบัติการโดยเฉพาะในเรื่องปัจจัยภายนอก  ความสามารถในการระบุปัจจัยภายในและภายนอกนี้อยู่ที่วิธีการคิดและการมอง แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน ผลการดำเนินการทางธุรกิจจึงประสบความสำเร็จและความล้มเหลวที่่ต่างกัน 

ถาม ต้องเป็นเอกสารหรือไม่
ตอบ ข้อกำหนดไม่ได้กล่าวไว้ และจริงแล้ว ปัจจัยภายนอกและภายในไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นเอกสารแต่จะอยู่ในเอกสารการประเมินโอกาสและความเสี่ยง ตามข้อ 6.1 เพราะเราระบุปัจจัยเพื่อทำการประเมินความเสี่ยงและโอกาส ด้วยเหตุนี้หากไม่ได้ระบุปัจจัยเพื่อทำการพิจารณาความเสี่ยงและโอกาสจะขาดหลักฐานในการแสดงให้เห็นว่าได้มีการกระทำตามข้อกำหนดโดยปริยาย
การกำหนดความเสี่ยงมีความแตกต่างจากการประเมินความเสี่ยง ดังนั้นการพูดคุยระหว่างการพูดคุยประชุมทางธุรกิจ ย่อมใช้เป็นหลักฐานในการกำหนดพิจารณาปัจจัยภายนอกและภายในรวมถึงพิจารณาผลของความไม่แน่นอนดังกล่าว (นิยามความเสี่ยง)

 

คำถาม  ผู้ตรวจประเมินรู้ได้อย่างไรว่าองค์กรกำหนดปัจจัยครบถ้วน
คำตอบ  ผู้ตรวจจะรู้ได้เมื่อได้ทำการตรวจประเมินตามฝ่ายสายงานต่างๆครบถ้วนแล้วปรากฏว่าไม่พบว่ามีประเด็นปัจจัยใดๆที่องค์กรควรทำการระบุเพิ่มเติมเพื่อประเมินภัยคุกคาม และหรือโอกาสทางธุรกิจ  ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจตามขอบข่ายการรับรอง,จุดประสงค์องค์กร, กลยุทธ์และผลลัพธ์ที่ต้องการจากQMS.
 
 
คำถาม. ผู้ตรวจจะรู้ได้อย่างไรว่ากลยุทธ์องค์กรถูกต้อง
คำตอบ   ไม่เลย ไม่ใช่หน้าที่ผู้ตรวจ ข้อกำหนดไม่ได้ระบุให้ทำเช่นนั้น
หน้าที่ผู้ตรวจคือการมองหาว่ามีปัจจัยใดที่องค์กรควรพิจารณา เพื่อสามารถเสริมสร้างให้ประสบผลตามกลยุทธ์มากขึ้นหรือไม่  เป็นการช่วยองค์กรในการมองหาจุดอ่อนปัญหาอุปสรรคที่ควรได้รับการตัดการเพื่อมุ่งสู่กลยุทธ์ที่ได้กำหนดต่างหาก

 ความเชื่อมโยงข้อกำหนด

flow-9001-2015

 


ประเด็นการตรวจสอบของผู้ตรวจประเมิน

  1. ตรวจสอบว่าองค์กรได้ทำการพิจารณากำหนดปัจจัยภายนอกและภายในที่เกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างครบถ้วนหรือไม่
  2. ตรวจสอบว่าองค์กรได้ทำการพิจารณากำหนดปัจจัยภายนอกและภายในที่เกี่ยวข้องกับทิศทางกลยุทธ์อย่างครบถ้วนหรือไม่
  3. ตรวจสอบว่าองค์กรได้ทำการพิจารณากำหนดปัจจัยภายนอกและภายในที่เกี่ยวข้องกับผลต่อความสามารถขององค์กรในการบรรลุผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ต่อระบบการบริหารคุณภาพอย่างครบถ้วนหรือไม่
  4. ตรวจสอบว่าปัจจัยภายนอกและภายในได้ถูกใช้สำหรับการพิจารณาความเสี่ยงเพื่อวางแผนระบบการบริหารคุณภาพหรือไม่
  5. ตรวจสอบว่าปัจจัยภายนอกและภายในได้รับการสื่อสารให้กับส่วนงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำระบบการบริหารคุณภาพอย่างเพียงพอเหมาะสมหรือไม่
  6. ตรวจสอบว่าองค์กรได้เฝ้าติดตามสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับประเด็นภายนอกและภายในอย่างเพียงพอเหมาะสมหรือไม่
  7. ตรวจสอบว่าองค์กรได้ทบทวนสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับประเด็นภายนอกและภายในอย่างเพียงพอเหมาะสมหรือไม่

โดยการทำการสอบถาม พูดุคุย ปรึกษาหารือ กับผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดปัจจัยภายนอกและภายใน โดยให้อธิบายถึงสภาพแวดล้อมด้านการแข่งขัน ความท้าทาย และความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญและระบบการปรับปรุงผลการดำเนินการขององค์กร เพื่อประเมินว่าได้มีตระหนักรู้ และได้มีการพิจารณาและดำเนินการอย่างเหมาะสมหรือไม่จากสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับกับปัจจัยภายนอกและภายใน

• พูดคุยโดยให้อธิบายว่าองค์กรอยู่ที่ลำดับใดในการแข่งขัน ให้อธิบายขนาดและการเติบโตขององค์กร เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรในอุตสาหกรรมหรือตลาดเดียวกัน รวมทั้งจำนวนและประเภทของคู่แข่ง
• พูดคุยโดยให้อธิบายว่าอะไรคือปัจจัยหลัก ที่กำหนดความสำเร็จขององค์กรเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่สำคัญ ซึ่งมีผลต่อสถานะการแข่งขันขององค์กร รวมถึงโอกาสสำหรับการสร้างนวัตกรรมและความร่วมมือ
• พูดคุยโดยให้อธิบายว่าแหล่งข้อมูลสำคัญที่มีอยู่สำหรับข้อมูลเชิงเปรียบเทียบและเชิงแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกันมีอะไรบ้าง แหล่งข้อมูลสำคัญที่มีอยู่สำหรับข้อมูลเชิงเปรียบเทียบจากอุตสาหกรรมอื่นมีอะไรบ้าง และมีข้อจำกัดอะไรบ้างในการได้มาซึ่งข้อมูลเหล่านี้ (ถ้ามี)
• พูดคุยโดยให้อธิบายว่าความท้าทาย และความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ด้านธุรกิจ ด้านการปฏิบัติการ และด้านทรัพยากรบุคคลขององค์กรคืออะไร
• พูดคุยโดยให้อธิบายว่าความท้าทายและความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนขององค์กรมีอะไรบ้าง
• พูดคุยโดยให้อธิบายว่าส่วนประกอบสำคัญของระบบการปรับปรุงผลการดำเนินการ รวมทั้งกระบวนการประเมินผลและกระบวนการเรียนรู้จากสิ่งนี้คืออะไร

 

หมายเหตุ : ก่อนการตรวจประเมินให้ผู้ตรวจประเมินทำการศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องล่วงหน้า เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอ เพื่อทำการพูดคุย ทำการตรวจทานความเพียงพอเหมาะสม ของการกำหนดปัจจัยภายนอกภายในได้  ข้อมูลที่จำต้องรู้ จำต้องมีก่อนการตรวจเช่น

  • องค์กรมีผลิตภัณฑ์และบริการหลักอะไรบ้าง กลไกที่องค์กรใช้ในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่ลูกค้าคืออะไร
  • องค์กรมีวัฒนธรรมองค์กรอย่างไร จุดประสงค์ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยมขององค์กรที่ได้ประกาศไว้คืออะไร
  • ลักษณะโดยรวมของบุคลากรเป็นอย่างไร มีการจำแนกบุคลากรหรือพนักงานออกเป็นกลุ่มและประเภทอะไรบ้าง กลุ่มคนเหล่านี้มีความต้องการและความคาดหวังที่สำคัญอะไร มีการศึกษาระดับใด มีความหลากหลายของบุคลากรและภาระงานในองค์กรอย่างไร มีกลุ่มอะไรบ้างที่จัดตั้งให้ทำหน้าที่ 
  • องค์กรมีอาคารสถานที่ เทคโนโลยี และอุปกรณ์ ที่สำคัญอะไรบ้าง 
  • องค์กรดำเนินการภายใต้สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบข้อบังคับอะไรบ้าง กฎระเบียบข้อบังคับด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ข้อกำหนดเกี่ยวกับการรับรองระบบงาน การรับรอง หรือข้อกำหนดด้านการจดทะเบียน มาตรฐานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และกฎระเบียบข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม การเงิน และผลิตภัณฑ์ ที่บังคับใช้กับองค์กรมีอะไรบ้าง• โครงสร้างองค์กร และระบบธรรมาภิบาลขององค์กรมีลักษณะอย่างไร ระบบการรายงานระหว่างคณะกรรมการกำกับดูแลองค์กร ผู้นำระดับสูง และองค์กรแม่มีลักษณะเช่นใด
  • กลุ่มลูกค้าและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และส่วนตลาดที่สำคัญขององค์กรมีอะไรบ้าง 
  • กลุ่มดังกล่าวมีความต้องการและความคาดหวังที่สำคัญต่อผลิตภัณฑ์ บริการ และการปฏิบัติการอะไร ความต้องการและความคาดหวังของกลุ่มลูกค้าและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และส่วนตลาดที่สำคัญแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างไร
  • ประเภทของผู้ส่งมอบ คู่ค้า คู่ความร่วมมือ และผู้จัดจำหน่ายที่สำคัญที่สุดคือใคร มีบทบาทอะไรในระบบงาน กระบวนการผลิต การส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่สำคัญ มีบทบาทอะไรหรือไม่ในกระบวนการสร้างนวัตกรรมขององค์กร ข้อกำหนดที่สำคัญที่สุดของห่วงโซ่อุปทานขององค์กรคืออะไร
  • ความสัมพันธ์ในเชิงคู่ค้าระหว่างองค์กรกับผู้ส่งมอบ และกับลูกค้าที่สำคัญเป็นอย่างไรกลไกการสื่อสารระหว่างกันคืออะไร
  • ความต้องการของกลุ่มลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และส่วนตลาดอาจรวมถึงการส่งมอบที่ตรงเวลา ระดับของเสียต่ำ ความปลอดภัย การป้องกันภัย การให้ส่วนลด การสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การบริการหลังการขาย พฤติกรรมที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริการชุมชน สำหรับองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรบางแห่ง ความต้องการอาจรวมถึงการลดต้นทุนการบริหารจัดการ การให้บริการตามบ้านความรวดเร็วของการตอบสนองในภาวะฉุกเฉิน และการใช้หลายภาษาในการให้บริการ

ให้ท่านทำการศึกษาข้อมูล เอกสาร ต่างๆ เช่นหนังสือรายงานผลประกอบการประจำปี เวปไซด์  นโยบายบริษัทแม่ และ บันทึกปัญหาต่างๆทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรเช่น คำติชมบ่นของลูกค้าที่ผ่านมา ผลการตรวจวัดสมรรถนะ ปํญหาในการผลิต ปัญหาส่วน ข้อมูลจากเอกสารที่มีอยู่เพื่อหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับองค์กร ไม่ว่าด้านวัตถุดิบ ด้านการตอบสนองลูกค้า ด้านคู่แข่งขัน ด้านเทคโนโลยี ด้านจากกฎหมาย ด้านผู้ส่งมอบ ด้านการตลาดและการขาย ด้านการผลิต ด้านคลังสินค้า ด้านการจัดการสินค้าคงคลัง ด้านการขนส่ง ด้านระบบสารสนเทศ ด้านการจัดการองค์กร ด้านการบริหารงานบุคคล เป็นต้น


 

 

 

 

บทความใกล้เคียง

Online

มี 116 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์