ลำดับการวางแผน คือ ชุดของขั้นตอนที่ปรับรูปแบบในการพัฒนาด้านตรรกะ (fashioned into) ของการดำเนินการเพื่อพัฒนาแผนการจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ดี ในกรณีที่แผนงานมีประสิทธิภาพ แผนงานนั้นจะต้องสามารถถูกปรับแต่งให้เหมาะสมกับองค์กรและสามารถบอกถึงความต้องการที่เฉพาะเจาะจงขององค์กรนั้นๆได้ อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ไม่มีทางที่สถานการณ์ฉุกเฉินใดที่จะเหมือนกับสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งอื่นๆในทุกๆอย่าง แผนการมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดในจุดที่สำคัญ... แผนการต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ลำดับการวางแผนจะถูกออกแบบด้วยวิธีการที่สมเหตุสมผลและมีแบบแผน ขั้นตอนต่อไปนี้ควรจะถูกดำเนินการตามแผนการจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ได้รับการพิจารณา:
a. ขั้นตอนแรกในลำดับนี้ คือ การกำหนดสมมติฐานและสิ่งที่จำเป็นที่เชื่อมโยงกับสมมติฐานเหล่านั้น สมมติฐานถือว่าเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและเป็นการระบุเงื่อนไขต่างๆที่ต้องเกิดขึ้นในกรณีที่แผนการเฉพาะมีการนำไปใช้งาน
b. ปัญหาคุกคามต่างๆที่สามารถเกิดขึ้นได้สามารถนำมาพิจารณาได้
c. มีส่วนประกอบมากมายที่จะต้องมารวมและพิจารณา
การประเมินความต้องการจะดำเนินการผ่านการปรึกษาหารือกับ เจ้าหน้าที่ในองค์กรอื่นๆและหน่วยงานภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าทุกๆปัจจัยได้รับการพิจารณาแล้ว เมื่อความต้องการที่มากที่สุดถูกตรวจพบ สิ่งเหล่านั้นควรจะถูกตรวจสอบ ประเภทของปัญหาภัยคุกคาม, ความน่าจะเป็นของการเกิดขึ้น, และอิทธิพลของปัจจัยภายนอก ข้อมูลนี้จะถูกนำมาประกอบรวมกันและควรได้รับการตรวจสอบเพื่อหาความหมายและความสัมพันธ์ภายใน ผลลัพธ์จากขั้นตอนการประเมินในส่วนของการสรุปและการแนะนำที่บ่งชี้กระบวนการทำงานที่เป็นไปได้ ควรจะส่งไปยังผู้บริหารระดับสูงขององค์กร เพราะการเตรียมความพร้อมสำหรับทุกๆสถานการณ์ฉุกเฉินคือจุดมุ่งหมายของการจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กระบวนการทำงานที่แตกต่างกันต้องได้รับการพิจารณา สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินแบบเฉพาะเจาะจง แต่ละแผนงานถูกสร้างบนกระบวนการดำเนินงานแบบเดี่ยว (a single course of action) ระบุหน้าที่เฉพาะเจาะจงที่นำไปปฏิบัติ ความซับซ้อนของหน้าที่ รวมไปถึงความสำคัญที่เกี่ยวข้องและกฎหมายที่มีความสอดคล้องกัน
พิจารณาแผนงานจากมุมมองของสถานการณ์ฉุกเฉิน: ก่อน, ระหว่าง และ ภายหลัง
พิจารณาคำถามต่อไปนี้: ใคร? อะไร? เมื่อไหร่? ที่ไหน? และอย่างไร? ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในหน้าที่เฉพาะต่างๆ? ตัวอย่างเช่น เมื่อถึงเวลาต่อติดต่อกับบริษัทประกันภัย ใครคือผู้รู้รายละเอียดที่บริษัทประกันภัยต้องการ? รายการทรัพย์สินรวมถึงแบบและเลขรหัสต่างๆ ถูกเก็บไว้ที่ใด? คุณจะพิสูจน์ถึงมูลค่าความเสียหายที่ให้กับบริษัทประกันภัยเพื่อช่วยในการเรียกร้องเงินประกันได้อย่างไร? ผู้จัดการด้านการเงินหรืองบประมาณของคุณได้กำหนดปริมาณสินเชื่อหรือเงินทุนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในกองทุนสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นในขั้นตอนการฟื้นฟูหรือไม่? สำหรับคำถามมากมายนี้ คุณอาจจะไม่สามารถตอบได้ เริ่มต้นทำแต่เนิ่นๆ ก่อนที่สถานการณ์ฉุกเฉินจะเกิดขึ้น, รวบรวมข้อมูลและตอบคำถามเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรของคุณมีการเตรียมพร้อมได้ดียิ่งขึ้น
1) แนวคิดของการดำเนินงาน (concept of operation) อธิบายคุณลักษณะของแผนงานและวิธีนำแผนงานไปปฏิบัติ
2) การบรรเทาผลกระทบ (mitigation) คือการนำกระบวนการ การปฏิบัติ และอุปกรณ์ที่จำเป็นไปใช้สำหรับลดความเสี่ยงขององค์กรในสถานการณ์ฉุกเฉินและภาวะภัยพิบัติ
3) ศูนย์การดำเนินการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Operations Center) กำหนดว่า ใครจะเป็นผู้ดำเนินการ ดำเนินการที่ไหน ดำเนินการเมื่อไหร่ และ ดำเนินการอย่างไร องค์กรควรจะมีศูนย์ควบคุมการดำเนินการ (Command Operations Center (COC))เป็นของตัวเอง นอกจากนี้ แผนกการจัดการอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างควรมีศูนย์ดำเนินการเป็นของตัวเอง โดยเรียกว่า ศูนย์การดำเนินการในสถานการณ์ฉุกเฉินของอาคาร (the Facilities Emergency Operation Center)
4) การควบคุมและสั่งการ (Command and Control) กำหนดสายการบังคับบัญชา (ใครคือคนสั่งการ) วิธีการที่ข้อมูลจะได้รับการประมวลผลและเผยแพร่ออกไป และใครเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องอะไร
5) ฝึกอบรม เพิ่มสมรรถภาพของพนักงานให้มากขึ้นด้วยการฝึกซ้อม
6) ระบุสิ่งของ, การบริการ, ทรัพยากร, สัญญาข้อตกลง, และการดำเนินการที่จำเป็น
การจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกินกว่าที่เขียนแผนไว้นั่นเป็นการใช้ทรัพยากรจำนวนมาก (resource intensive)
7) การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business continuity) การวางแผนเรื่องการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจต้องเริ่มต้นก่อนที่สถานการณ์ฉุกเฉินจะเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้ขายกับผู้รับเหมาเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เพราะองค์กรจะขึ้นอยู่กับพวกเขา คำถามที่ควรถูกถามประกอบด้วย: ความช่วยเหลือแบบใดที่ผู้ขายและผู้รับเหมาสามารถให้ได้? ผู้ขายและผู้รับเหมาเหล่านี้สามารถจัดหา วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ การบริการ และ การช่วยเหลือทั้งหมดให้ได้อย่างไร ในกรณีที่พวกเขาอาจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฉุกเฉิน?
1) แนวคิดของการดำเนินงาน (Concept of operation) ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่? แผนงาน คือ ข้อมูลเอกสารที่มีความยืดหยุ่น ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้เมื่อจำเป็น ในการนำแผนงานไปปฏิบัติ ผู้ควบคุมดูแลอาคารหรือส่งปลูกสร้างควรจะมีการรวมตัวทีมสำหรับรับมือต่อสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งหมดเพื่อประชุมร่วมกัน ในการประชุมผู้ควบคุมดูแลอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างจะสรุปประเด็นปัญหาต่างๆ ให้คำแนะนำ จัดแบ่งอำนาจหน้าที่ จัดเตรียมความพร้อมของทรัพยากร และ ประสานกระบวนการการรับมือต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน และเมื่อสถานการณ์ฉุกเฉินถูกจำกัดยับยั้ง กระบวนการฟื้นฟูก็จะเริ่มต้นขึ้น
2) บุคลากรด้านการจัดการอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างจะนำกระบวนการรับมือต่อสถานการณ์ฉุกเฉินไปปฏิบัติ ด้วยการจัดการสำรวจประเมินความเสียหายของสิ่งปลูกสร้าง ทำเอกสารยืนยันการบาดเจ็บและเสียชีวิต แจ้งรายละเอียดขั้นตอนและกระบวนการต่างๆที่ใช้ในระหว่างเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ประสานงานด้านอุปกรณ์ เสบียง ที่หลบภัยและ การช่วยเหลือในความต้องการด้านการดูแลรักษาจำนวนมาก
3) ผู้ควบคุมดูแลอาคารและสิ่งปลูกสร้าง จะค้นหาประเภทและขอบเขตของสถานการณ์ฉุกเฉินและแจ้งไปยังศูนย์ควบคุมการดำเนินการ (COC) นอกจากนี้ ผู้ควบคุมดูและจะจัดตั้งทีมประเมินความเสียหาย (Damage Assessment Team) และสั่งการให้ทีมนี้เริ่มต้นการประเมินอาคารและระบบสาธารณูปโภคที่สำคัญในเบื้องต้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวม วิเคราะห์อย่างรวดเร็ว และส่งผ่านไปยังผู้ควบคุมดูแลอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นผู้ที่จะแจ้งข้อมูลเหล่านี้ไปที่ศูนย์ควบคุมการดำเนินการ (COC) ขององค์กร การประเมินที่ละเอียดมากขึ้น จะถูกดำเนินการหลังจากสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ในการควบคุมแล้ว
4) การจัดการในการรับมือ (Response organization) พนักงานทุกคนควรรู้หน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง
5) การจัดทำเอกสาร (Documentation) ทุกการดำเนินการจำเป็นต้องจัดทำเป็นเอกสารเพื่อการตรวจสอบในอนาคต
เมื่อสถานการณ์อยู่ในการควบคุม ความพยายามที่จะทำให้กลับสู่ภาวะปกติก็จะเกิดขึ้น และ การฟื้นฟูจะเริ่มต้นขึ้น ตามที่จะอธิบายดังต่อไปนี้ ในสถานการณ์ภัยพิบัติ อาจจะกินระยะเวลาเป็นสัปดาห์ เดือน หรือ ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์ ในกรณีของพายุเฮอร์ริเคนแคทริน่า(Katrina)และแซนดี้(Sandy) เหตุการณ์เหล่านี้ใช้เวลาเป็นปีๆเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการฟื้นฟูอย่างเหมาะสมในบางส่วน
1) แนวคิดของการดำเนินงาน (Concept of operation) การฟื้นฟูจะถูกนำไปปฏิบัติอย่างไร?
2) ความรับผิดชอบในการฟื้นฟู
3) การฟื้นฟูอาคาร
4) การดำเนินการและการซ่อมบำรุง
5) บุคลากรและการบริหารจัดการ
6) การดำเนินการกอบกู้
7) การประเมินความเสียหาย
8) การประชาสัมพันธ์
ขั้นตอนนี้ คือ ขั้นตอนการแก้ไขจุดบกพร่อง (debugging phase) ส่วนนี้คือส่วนที่คุณจะตรวจสอบแผนงานในรายละเอียดและประสานเข้ากับเจ้าหน้าที่ต่างๆและหน่วยงานภายนอกเพื่อแก้ไขปัญหาใดๆที่ต้องการทางออก จึงเป็นโอกาสที่ดีในการดำเนินการฝึกปฏิบัติรูปแบบต่างๆเพื่อปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่อยู่ในแผนงานและในส่วนที่จำเป็น; ปรับแก้ไขในรายละเอียดเพื่อทำให้ชัดเจนและง่ายขึ้น และยังพิจารณาความเสี่ยง ในด้านของค่าใช้จ่าย เนื่องจากอาจจะมีความลังเลจากผู้นำองค์กรในการจัดหาเงินทุนสำหรับทรัพยากรเพื่อใช้ในแผนการจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะไม่ถูกนำไปใช้ การหาเหตุผลอธิบายค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดเป็นสิ่งที่สำคัญ (Good, detailed cost justification is critical)
เมื่อการวิเคราะห์เสร็จสมบูรณ์และคุณพอใจกับแผนงานแล้ว ต่อมาจะทำการเผยแพร่แผนงาน การกระจายแผนงานเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากคุณต้องการให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องได้รับเอกสารนี้ นอกจากนี้คุณควรกำหนดว่าองค์กรภายนอกแผนกการจัดการอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ควรจะได้รับเอกสารฉบับนี้ ซึ่งค่อนข้างที่จะเป็นไปได้ที่คุณอาจจะต้องแจกจ่ายเอกสารนี้อย่างน้อยๆ 100 ชุด ไม่ต้องกังวลว่าคุณจะเตรียมเอกสารมากเกินไป เนื่องจากมีบุคคลหรือองค์กรอื่นๆที่ต้องการเอกสารนี้อยู่ตลอด ตรวจดูให้แน่ใจได้ว่าคุณได้ประทับตราวันที่ของแผนงานแล้ว เนื่องจากในกรณีที่คุณแก้ไขและจัดพิมพ์ใหม่อีกครั้ง หรือแจกจ่ายในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์ คุณจะต้องทราบว่าเอกสารชุดใดกำลังถูกนำไปใช้งาน ตั้งระยะเวลาสำหรับการตรวจสอบ ทบทวน และ เผยแพร่แผนงานใหม่ ในทุกปี แผนงานแบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถเพิ่มลงในแท๊ปเล็ตหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆเพื่อให้ง่ายต่อการอ้างอิง โดยเฉพาะในพื้นที่ (in the field)
เมื่อแผนงานสมบูรณ์แล้ว ต่อมาจึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกซ้อม ยิ่งบุคลากรมีความคุ้นเคยกับแผนมากเท่าไหร่ การปฏิบัติและการรับมือต่อสถานการณ์ฉุกเฉินก็จะยิ่งง่ายมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งคล้ายกับการออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ... เมื่อคุณออกกำลังการมากขึ้น กล้ามเนื้อก็จะยืดหยุ่นและแข็งแรงมากขึ้น ในการสรุปการฝึกซ้อมในแต่ละครั้ง ควรมีการประชุมถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ซึ่งทุกคนที่เกี่ยวข้องมีความรับผิดชอบในการตั้งประเด็นซักถามอย่างน้อยหนึ่งข้อที่เกี่ยวข้องกับคำถามต่อไปนี้: ส่วนใดดำเนินการเป็นไปได้ดี? ขั้นตอนใดดำเนินการได้ไม่ดี? ส่วนใดมีความจำเป็นต้องปรับปรุงหรือแก้ไข?