การอบรมไม่ใช่เรื่องใหม่ หากย้อนหลังไปเมื่อ 100 ปี ในสมัยนั้น ใครอยากจะทำงานอะไร ก็ลงมือทำงานนั้น ค่อยๆเรียนรู้งานไป ครูพักลักจำ ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง อย่างนี้สมัยโบราณก็เรียกว่าอบรม สอนงาน เช่นกัน
ในปัจจุบันด้วยภาวะการแข่งขันไม่ว่าในเรื่อง รูปแบบ คุณภาพ และราคาสินค้า ปัจจัยที่สำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันนี้โดยเฉพาะในเรื่อง ต้นทุน
ในการต่อสู้เรื่องต้นทุนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละองค์กร ที่ซึ่งประกอบด้วยคนในองค์กรนั้นๆ อยู่ที่การตัดสินใจ จัดการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของคน และเพิ่มผลผลิตได้อย่างไร
อะไรคือเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องอบรม ( Training needs)
1. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน
เช่นเดิม ใน1 ชั่วโมงทำได้ 10 ชิ้น หากสามารถทำให้สามารถผลิตสินค้าได้ 12 ชิ้นต่อชั่วโมง แสดงว่า ประสิทธิภาพของพนักงานผู้นั้นจะสูงขึ้น หรือสามารถทำการส่งมอบได้เร็วขึ้น ออกแบบได้เร็วขึ้น
2. เพิ่มผลผลิตขององค์กร
ไม่เพียงแต่เราใช้หลักการในการผลิตมากชิ้นใน เวลาในราคาต่อหน่วยเท่าเดิม แต่ในส่วนนี้สามารถทำโดยการผลิตในหน่วยเท่าเดิมในต้นทุนที่ต่ำลง ทำให้สามารถส่งมอบสิ้นค้าในราคาที่ถูกลงด้วย ด้วยเหตุผลที่
พนักงานเป็นผู้หาวิธีในการลดค่าใช้จ่ายใน การทำงาน โดยการขจัดการสูญเสียสิ้่นเปลีื่องที่ไม่จำเป็น ตระหนักและมีความสามารถในการจัดหาอุปกรณ์ช่วยในการผลิต ให้ได้ผลผลิตต่อคนสูงขึ้นพนักงานเป็นผู้จัดระบบงานและหาวิธีทำงานให้รัดกุมรวดเร็ว
ทั้งหมดอาศัยคน เป็นผู้คิด ริเริ่มและกระทำทั้งสิ้น ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพคนคือการเพิ่มผลผลิตขององค์กรด้วย
การอบรมใดๆที่เกิดขึ้น หากไม่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายข้างต้น หมายถึงเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไร้ผล
เป้าหมายของการอบรมคือ
1. เพื่ือทำการพัฒนาบุคลากรของบริษัทให้มีความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ที่จะำทำงานให้บรรลุแผนงานของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว
2. ให้เขาสามารถทำงานตามกำหนดใบบอกลักษณะงาน ( JD) ของตำแหน่งนั้นๆ
3. ให้พนักงานสามารถทำงานที่มีประสิทธิภาพ ตามมาตรฐานของคุณภาพของงานที่ตั้งไว้
4. ให้พนักงานสามารถที่จะพร้อมทำงานในกรณีที่บริษัทมีเทคโนโลยีการผลิต เครื่องมือ อุปกรณ์ใหม่ๆ
5.เพื่อพัฒนาความสามารถเพื่อให้สามารถรับหน้าที่ใหม่ในระดับสูงต่อไปในอนาคต โดยให้มีความรู้ ทักษะ ที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานใหม่ี่
ถ้าแผนการฝึกอบรมของบริษัทไม่สอดคล้องกับความต้องการ การอบรมนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้ผลที่คุ้มค่า
อะไรคือปัญหาที่ทำให้ระบบการอบรมไม่ดี
1 ไม่รู้ ไม่มีเป้าหมาย ไมีรู้ความต้องการในการฝึกอบรมที่แน่ชัด จัดการอบรมแบบเดาสุ่ม ซึ่งไม่ได้ตอบความจำเป็นของบริษัทหรือตัวพนักงานแต่อย่างไร เมืือ เป้าหมายไม่ชัด จะวัดผลไม่ได้ (ไม่รู้ว่าจะประเมินอย่างไร เทียบกับอะไร) เช่นเป้าหมายให้สามารถทำการเพิ่มประสิทธิภาพพนักงาน --> หลังผ่านการอบรมพนักงานสามารถทำการผลิต/ประกอบ ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้หรือไม่
2. คนสอน หรือคนฝึก คนที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องที่จะฝึกสอนมักอยู่ในบริษัท แต่บางครั้งเขาอาจไม่มีความสามารถในการสอน ถ่ายเทความรู้สู่คนอื่นได้
3. ผู้บริืหารระดับสูงไม่เข้าใจงานอบรมผสมกับผู้รับผิดชอบส่วนงานบุคคลจอมปลอม
เมื่อโครงการอบรมไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงผลตอบ แทนการลงทุน หรือผลของการปรับปรุง ผู้บริหารระดับสูงจึงไม่่เห็นความสำคัญการลงทุนในเรื่องนี้ ( เพราะไม่สามารถโยงถึง การทำให้ีพนักงานมีประสิทธิภาพ) ระบบโบราณเริ่มเกิด "ปล่อยให้พนักงานทำงานไป 2- 3 อาทิตย์, 2-3 เืดือน ก็ทำงานเป็นเอง ทำไม่ได้ก็ไล่ออกไป
ปัญหาในเรื่องนี้คือ ผู้ที่รับผิดชอบในการอบรมไม่สามารถหา จัดทำ พยายามทำให้เห็นถึง ความจริงที่เป็นตัวเลขได้ว่าหากอบรมแล้วพนักงานจะมีประสิทธิภาพในการทำงาน ขึ้นกี่ เปอร์เซนต์ และโดยมากแล้วหัวข้อที่ำกำหนดอบรมเป็นหัวข้อที่มักไม่เกี่ยวข้องกับการปรับ ปรุงประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของการทำงานได้อย่างไร มากกว่านั้นผู้บริหารใน SMEs ส่วนมากมักโตจากลำแข้งตัวเอง มักเริ่มจากไม่รู้อะไรเลย เติบโตมาแบบไม่เคยมีใครสอนหรือได้รับการอบรมเรื่องใดๆ จึงคิดว่าทุกคนมีความสามารถเท่าตัวเองจังไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องอบรม พนักงาน
สรุป
เราสามารถทำการเพิ่มผลผลิตให้องค์กรโดยการอบรม เพื่อสามารถเพิ่มประสิทธิภาำพในการทำงานของพนักงานการอบรมเป็นการเกิดขึ้นของค่าใช้่จ่ายไม่ว่าทางตรง ทางอ้อมการอบรมที่ดี ต้องเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายการอบรมใ้ห้ชัดเจน ถึงผลที่ต้องการให้เกิด ซึ่งหมายถึงมีความรู้ ทักษะในการทำงานในหน้าที่นั้นๆ โดยเฉพาะพนักงานในสายการผลิต ( คนงาน )เราไม่สามารถทำการวัดผลการอบรมได้ หากเป้าหมายไม่ชัด
เกี่ยวอะไรกับ ISO 9001:2008
ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นคือข้อกำหนดของมาตรฐาน ISO 9001:2008 ข้อ 6.2.2 หากไม่เห็นด้วย โปรดช่วยอ่านข้อกำหนดISO9001:2008 ข้อ 6.2.2 ใหม่อีกครั้งหนึ่ง